ดิจิทัล กับ เทคโนโลยี ต่างกันอย่างไร

หัวข้อ

ดิจิทัล กับ เทคโนโลยี ต่างกันอย่างไร

ดิจิทัล กับ เทคโนโลยี ต่างกันอย่างไร เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำหรับคนไทยทั่วไป น่าจะเคยไม่มากก็น้อย ที่จะได้ยินคำๆนี้ แต่ที่น่าจะคุ้นเคยกับคนในประเทศเรามากที่สุด นั่นก็คงจะเป็นคำว่า ไอซีที (ICT) เพราะคำนี้ถูกระบุใช้เป็นชื่อของ กระทรวงที่สำคัญกระทรวงหนึ่ง ในหลากหลายรัฐบาลมาแล้ว โดย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2545 และในท้ายที่สุดเมื่อเดือนกันยายนปี 2559 ก็ได้ถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็น กระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (thailandwatch) ซึ่ง ชื่อที่ ถ้าจะเรียกเป็นภาษาอังกฤษให้เท่ๆแล้ว เราก็ต้องเรียกว่า กระทรวง ดีอีเอส (Ministry of Digital Economy and Society : DES) แต่ก่อนจะไปถึงเรื่องราวและความคิดเห็น เกี่ยวกับ การหายไปของ ไอซีที และ การเกิดขึ้นใหม่ของคำว่า ดิจิทัล ราวมาทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับคำคำนี้กันก่อน

กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ภาษาอังกฤษ ดิจิทัล กับ เทคโนโลยี ต่างกันอย่างไร

ดิจิทัล กับ เทคโนโลยี ต่างกันอย่างไร เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร คือ คำที่เป็นความหมายรวมกันของ คำว่า เทคโนโลยี (Technology) คำว่า สารสนเทศ (Information) และ อีกคำหนึ่ง นั่นคือ คำว่า การสื่อสาร (Communication) ซึ่งหมายถึง การผสานเข้ากันของการความก้าวหน้าและพัฒนาการของโทรศัพท์และระบบสื่อสารไร้สาย คอมพิวเตอร์ ทั้ง ซอฟต์แวร์ โปรแกรม หน่วยเก็บข้อมูล อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ และอื่นๆ ที่สามารถช่วยให้ เข้าถึง/เก็บ/ส่ง และ การจัดการข้อมูลสารสนเทศได้โดยครอบคลุมไปถึงเรื่องของการสื่อสารและเครือข่ายด้วย

จากความหมายเบื้องต้น ก็ฟังดูน่าจะเป็นประโยชน์ครอบคลุมได้ทั้งหมดแล้ว แต่แล้วทำไม คำว่า ไอซีที กลับถูกลดความนิยม ความครอบคลุม ลงไปจนปัจจุบันพูดกันแต่เรื่องของ ดิจิทัล ที่แม้แต่ทางรัฐบาลไทยก็ยังต้องปรับตัว สาเหตุในเชิงลึก ที่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาเป็นกระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นั้นอาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรก็แล้วแต่ แต่ในฐานะนักการตลาดออนไลน์ ก็ขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัวในเชิงของการวิเคราะห์ไว้เบื้องต้นในลักษณะนี้ คือ

คำว่า เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งแปลโดยตรงมาจากภาษาอังกฤษที่ใช้คำว่า Information and Communication Technology เป็นศาสตร์และวิชาการที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงยุคตั้งแต่ ค.ศ. 2000 จนถึงประมาณ 2010 โดยผู้ที่อยู่ในช่วงยุคนั้นและมีความเกี่ยวกันกับเทคโนโลยีในส่วนนี้ส่วนมาก ก็จะรู้จักในนามของ นักไอที หรือ ระบบไอที ต่างๆ

ในช่วงยุคนั้นการมาถึงของเทคโนโลยีอันทันสมัยยังไม่ได้มีมากเท่าปัจจุบันนี้ โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์โดยทั่วไปและโดยมากก็จะเป็นการทำงานผ่านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ส่วนตัว โน้ตบุ๊ค (notebook) และ แลปท๊อป (laptop)

แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของอุปกรณ์การใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ถูกบรรจุลงในเครื่องมือสื่อสารอย่าง โทรศัพท์มือถือ แล้วก็เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก รวมถึงกระจายตัวออกไปในวงกว้างในสังคม รวมทั้งเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารเชื่อมต่อกันระหว่างคนทั่วไปก็เกิดการปฏิวัติอย่างรุนแรง นั่นคือ เรื่องของโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค (Social Network) เมื่อ 2 อย่างมารวมกัน ในช่วงเวลาที่เหมาะสมและเหมาะเจาะเป็นอย่างยิ่ง จึงทำให้สื่อสังคมออนไลน์อย่างโซเชี่ยลมีเดีย (Social media) ที่ได้รับความนิยมมากๆ และ ควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์ของอุปกรณ์มือถือสมาร์ทโฟน

ดังนั้น การใช้เทคโนโลยีของคนทั่วไป ก็ไม่จำเป็นต้องมี อุปกรณ์ราคาแพง หรือ เข้าถึงได้ยาก เหมือนยุคสมัยไอทีตอนต้นที่ต้องมีคอมพิวเตอร์ หรือ laptop เท่านั้นเพื่อเชื่อมเข้าสู่โลกออนไลน์และอินเทอร์เน็ต ดังนั้นด้วยความเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะนี้ ความรู้ในส่วนของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารก็ค่อนข้างจะเป็นเรื่องของการจำกัดวงความคิดจนเกินไป สุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นและการปฏิวัติทั้งหมด จึงถูกเรียกรวมว่าเป็นเรื่องของ “ยุคดิจิทัล”

อาชีพ ยุค ไอซีที

เมื่อมองถึงงานในยุคไอทีหรือไอซีที งานใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนก็เกิดขึ้นมากมาย ช่างก่อสร้าง ช่างตัดผม ชาวประมง ฯลฯ อาจไม่ได้สร้างผลลัพธ์ในทันทีเหมือนงานก่อนหน้า แต่เป็นงานในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ งานที่ไม่เฉพาะเจาะจงมากนัก เช่น โปรแกรมเมอร์ ผู้จัดการฐานข้อมูล นักวิเคราะห์ระบบ หรือผู้ดูแลระบบเครือข่าย แต่ยังมีมากกว่านั้นอีกมาก งานที่เกิดหลังยุค ICT ได้รับความนิยมน้อยลงและยุคดิจิทัลเข้ามาแทนที่ อาชีพใหม่ๆ หลายๆ อาชีพ เช่น data artist, blockchain expert, หรือแม้แต่ vlogger หรือ Youtuber ก็มีความแตกต่างอย่างคาดไม่ถึง (คำนี้ใหม่มาก จนยังไม่มีการแปลเป็นภาษาไทยอย่างเป็นทางการ)

สำหรับผม อ.แชมป์ ฐิติพร เทียมจันทร์ โดยส่วนตัวแล้วอยู่ในยุคแรกๆ ของวิทยาการคอมพิวเตอร์และความนิยมของเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และการสื่อสาร ดังนั้นฉันจึงได้เห็นการพัฒนาที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารระหว่างบุคคลโดยทั่วไปและด้วยการสนับสนุนที่ดีฉันจึงมีโอกาสศึกษาวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องที่มหาวิทยาลัย Wollongong ประเทศออสเตรเลีย ระดับปริญญาโท หรือปริญญาโทของมหาวิทยาลัย หลักสูตรปริญญา (MICT) สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ดังนั้น เนื้อหาและประสบการณ์ในอดีตทั้งหมดของฉันจึงเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้และการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ที่ปรึกษาด้านการตลาดดิจิทัลหรือการตลาดออนไลน์ นี่คืองานหลักของคุณในตอนนี้ ดังนั้นการทำความเข้าใจสาระสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้จะชัดเจน

ยังมีคำถามจากน้องๆและนักศึกษาส่วนมากที่กำลังศึกษาในหลักสูตรเดิม นั่นก็คือ หลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับ ไอที หรือ ไอซีที (เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) ว่าจะสามารถทำงานในส่วนของโครงสร้างความรู้ที่เปลี่ยนไปและใช้ชื่อว่า ดิจิทัล ได้หรือไม่

ด้วย “ความคิดเห็นส่วนตัว” ของผมแล้วประกอบกับประสบการณ์และการทำงานในปัจจุบัน ต้องบอกว่า แม้การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่หลักสูตรที่ยังมีใช้อยู่ในระดับมหาวิทยาลัยบางหลักสูตรก็สามารถเป็นประโยชน์ให้กับตัวนักศึกษาได้ ตัวอย่าง เช่น ในส่วนของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโดยตรง ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก (ในส่วนของประเด็นความรู้หลัก) แต่สิ่งที่เปลี่ยนไป คือ การนำไปประยุกต์ใช้ ทำให้สังคมจับต้องและเข้าถึงได้มากขึ้น

พูดง่ายๆ คือ ในปัจจุบันเมื่อเปลี่ยนเป็นยุคดิจิทัล เราก็ยังสามารถนำความรู้ความสามารถในส่วนของ ICT หรือวิทยาการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับความเปลี่ยนแปลงปัจจุบันที่เกิดขึ้นให้ได้ประโยชน์สูงสุด ตัวอย่าง เช่น เราเคยมีการศึกษาเรื่องของการนำข้อมูลต่างๆมาประยุกต์ใช้ตั้งแต่สมัยเริ่มต้นของยุคไอทีแล้ว แต่แนวความคิดหรือความรู้เหล่านี้ก็ถูกนำไปต่อยอดและทำให้ใช้ประโยชน์และจับต้องได้จริงอย่างเห็นได้ชัดมากขึ้น ในยุคดิจิทัลนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของการใช้ระบบการเรียนรู้ Machine Learning (ML) และ ประกอบกับ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence:AI) ที่ได้รับความนิยมและพัฒนาไปอย่างมาก

ปัจจุบันเนื่องด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนำสมัยมากขึ้น และ ที่สำคัญที่สุด คือ “ราคา” ที่ถูกลงของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ และ การเข้าถึงเทคโนโลยีทันสมัย รวมทั้ง ความเร็วของการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ปัจจุบันบางประเทศมีการใช้ความเร็วในระดับ 5G กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ดังนั้น ถ้าจะให้สรุปโดยรวมแล้ว สำหรับน้องๆที่ยังคงศึกษาในเรื่องของวิทยาการ ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร อยู่ และ มีความกังวลว่าจะสามารถนำความรู้นี้ไปใช้ประโยชน์หรือทำงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ดิจิทัล digital อย่างในปัจจุบันได้หรือไม่ ก็ต้องบอกได้เลยว่า รับรองว่าไม่มีปัญหาแน่นอน เพียงแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของน้องๆทุกคนที่อยากจะฝากไว้นั่น คือ เราจำเป็นจะต้องนำความรู้ที่ได้จากระดับอุดมศึกษามหาวิทยาลัยและวิทยาลัยของเราไปใช้อย่างมีคุณค่าและสามารถปฏิบัติได้จริง เพื่อให้เป็นประโยชน์กับสังคมและคนหมู่มาก เพราะ ถ้าหากไม่ทำเช่นนี้แล้ว ความรู้ที่เราศึกษากันอยู่นี้ก็ไม่อาจนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้เลยก็เปรียบเสมือนกับที่คนไทยชอบพูดว่า “เรียนแล้วก็เอาไว้บนหิ้ง” นั่นเอง

 

บทความที่เกี่ยวข้อง